บทนำ
โรคหูด (Warts) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปปิโลมา (Human Papillomavirus หรือ HPV) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของเด็กได้ เนื่องจากก่อให้เกิดความรู้สึกอาย และไม่มั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเกิดบนใบหน้าหรือบริเวณที่มองเห็นได้ชัดเจน ปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่มีสถิติที่แน่นอนของโรคหูดในประเทศไทย แต่พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ และหาวิธีป้องกันที่เหมาะสม
โรคหูดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังที่มีรอยโรค หรือจากการใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ที่เป็นโรค เช่น ผ้าเช็ดตัว หวี และกรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น เมื่อติดเชื้อแล้ว มักจะเริ่มมีอาการหลังจากนั้น 2-3 เดือน โดยสังเกตเห็นเป็นตุ่มนูนเล็กๆ บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ มีสีเดียวกับผิวหรืออาจจะคล้ำกว่าเล็กน้อย พื้นผิวของตุ่มหูดมักมีลักษณะขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำ หรือกลีบเล็กๆ อัดกันแน่น บางครั้งอาจมีอาการเจ็บ คัน หรือเลือดออกได้ หากมีอาการดังกล่าว ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งมีหลากหลายวิธี ขึ้นกับชนิด ลักษณะ ตำแหน่ง และขนาดของโรค แต่วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคหูดคือการป้องกัน ด้วยการรักษาสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ตามคำแนะนำของแพทย์
สาเหตุของโรคหูด
– เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหูด (Rubella virus)
– การแพร่กระจายทางละอองฝอยจากการไอ จาม และสารคัดหลั่ง
– เด็กเล็กและผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงสูง
อาการของโรคหูด
– ไข้ต่ำๆ ประมาณ 1-5 วันก่อนจะมีผื่นแดง
– ผื่นแดงเริ่มที่ใบหน้า แล้วลามไปทั่วร่างกาย
– อาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก น้ำตาไหล เจ็บคอ ผื่นคัน
– ในหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
การวินิจฉัยโรคหูด
– แพทย์ซักประวัติและตรวจร่างกายอาการผื่นแดง
– ตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสหูด
– ใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อ
การรักษาโรคหูด
– ไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับไวรัสหูด รักษาตามอาการ
– ให้ยาลดไข้ ยาแก้แพ้ และยาคลายเครียดเพื่อบรรเทาอาการ
– พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดและทานอาหารอ่อนๆ
– รักษาด้วยยาต้านไวรัสในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
การป้องกันโรคหูด
- โรคหูดติดต่อกันได้อย่างไร?
โรคหูดติดต่อผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม และสารคัดหลั่งของผู้ป่วย การอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหูดจึงมีความเสี่ยงสูง
- อาการแรกของโรคหูดคืออะไร?
อาการแรกที่มักพบคือไข้ต่ำๆ ก่อนที่จะเริ่มมีผื่นแดงตามร่างกาย ผื่นของโรคหูดจะเริ่มที่ใบหน้าและลามไปทั่วร่างกาย
- เด็กช่วงอายุเท่าไรที่เสี่ยงต่อโรคหูด?
เด็กแรกเกิดถึงอายุ 2 ขวบเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโรคหูด เนื่องจากวัคซีนจะเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่ออายุ 1 ปี หากขาดวัคซีนก็จะมีความเสี่ยงสูง
- ถ้าหญิงตั้งครรภ์ติดโรคหูด อันตรายจะเกิดขึ้นหรือไม่?
ใช่ หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโรคหูด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกพิการแต่กำเนิดได้ จึงควรรับวัคซีนก่อนตั้งครรภ์
- มีวิธีใดที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคหูด?
การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคหูด ควรฉีดตามกำหนด 2 เข็ม คือ เข็มแรกเมื่ออายุ 1 ปี และเข็มที่สองเมื่ออายุ 6 ปี
แหล่งอ้างอิง
https://www.cdc.gov/