หน้าแรก » ข่าว » “ดิจิทัลวอลเล็ต” นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา

“ดิจิทัลวอลเล็ต” นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา

ดิจิทัลวอลเล็ต

บทนำ

ในความพยายามอย่างเข้มข้นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทย รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศใช้นโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ด้วยเม็ดเงินมหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าแจกเงินคนละ 10,000 บาทให้ประชาชนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม นโยบายนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของแคมเปญหาเสียงพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งมาได้ บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของนโยบาย ผลกระทบที่คาดหวัง และความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ความเป็นมาของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล มีเป้าหมายในการแจกเงิน 10,000 บาท (ราว 275 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้แก่คนไทย 50 ล้านคน ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยเงินนี้จะต้องใช้จ่ายภายในชุมชนท้องถิ่นของตนเองในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและหนุนธุรกิจขนาดเล็ก[5][10]

คุณสมบัติหลักของนโยบาย:

  • เกณฑ์การได้รับสิทธิ์: คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 840,000 บาท และมีเงินฝากในบัญชีธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท จะมีสิทธิ์ได้รับเงิน[11]
  • การแจกจ่าย: เงินจะถูกแจกจ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลบนระบบบล็อกเชน เพื่อความโปร่งใสและปลอดภัย[11]
  • ข้อจำกัดการใช้จ่าย: เงินที่ได้ต้องนำไปใช้จ่ายภายในอำเภอที่กำหนดไว้เท่านั้น เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น[11]

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลคาดหวังว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ การอัดฉีดเงิน 5 แสนล้านบาทเข้าสู่ชุมชนท้องถิ่น คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโต GDP ได้ 1.2-1.8% ในปี 2568[5][10]

ประโยชน์ที่คาดหวัง:

  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น: นโยบายมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการใช้จ่ายในธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยหนุนธุรกิจขนาดเล็กและสร้างงาน[4][10]
  • หนุน GDP: การอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลนี้ มีการคาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ และส่งผลบวกต่อเนื่องไปถึงปีถัดไปด้วย[4][10]
  • ส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัล: การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับกระเป๋าเงินดิจิทัล คาดว่าจะวางรากฐานสู่ระบบการชำระเงินดิจิทัลในระดับประเทศ[4]

ข้อท้าทายและข้อวิจารณ์

แม้จะมีประโยชน์ที่คาดหวัง นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลก็เผชิญกับการตรวจสอบและความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ได้แก่

  1. ข้อกังวลด้านเงินทุน: รัฐบาลวางแผนจะใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567-2568 และใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าอาจสร้างความตึงเครียดให้การคลังสาธารณะและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้ ธ.ก.ส.[11]
  2. ข้อจำกัดทางกฎหมายและวินัยการคลัง: นโยบายนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจขัดต่อวินัยการคลังและข้อจำกัดทางกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกร้องให้ใช้ความระมัดระวัง โดยเน้นย้ำความจำเป็นในการรักษาวินัยการคลัง[8][11]
  3. ความล่าช้าในการปฏิบัติ: การนำนโยบายไปปฏิบัติเกิดความล่าช้าหลายครั้ง เนื่องจากข้อท้าทายด้านเงินทุนและกฎหมาย ตอนนี้รัฐบาลตั้งเป้าจะเริ่มนโยบายนี้ในไตรมาส 4 ของปี 2567[5][10]
  4. ผลกระทบทางการเมือง: ความสำเร็จหรือล้มเหลวของนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล อาจส่งผลสำคัญต่อฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย หากไม่สามารถทำตามสัญญาหาเสียงข้อสำคัญนี้ได้ ความนิยมของพรรคอาจลดลง[11]

ทางข้างหน้า

เพื่อให้การดำเนินนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลประสบความสำเร็จ รัฐบาลต้องให้ความสนใจในประเด็นสำคัญหลายด้าน ได้แก่

  1. การสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบ: รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมายและการคลัง รวมถึงการสื่อสารที่ชัดเจนกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย[7][11]
  2. การเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และการรักษาความปลอดภัยของระบบบล็อกเชน จะเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ[4][11]
  3. การติดตามและประเมินผล: การเฝ้าติดตามและประเมินผลกระทบของนโยบายที่มีต่อเศรษฐกิจและชุมชนท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยระบุจุดที่ต้องปรับปรุงและทำให้มั่นใจว่าจะบรรลุประโยชน์ตามเป้าหมาย[7][11]

สรุป

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นแนวทางที่เด็ดเดี่ยวและสร้างสรรค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ แต่ศักยภาพในการหนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัล และเพิ่มอัตราการเติบโต GDP ก็ไม่อาจมองข้ามได้ หากรัฐบาลสามารถจัดการกับข้อกังวลด้านเงินทุน สร้างความโปร่งใส และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้ ก็จะสามารถปูทางสู่การนำนโยบายอันทะเยอทะยานนี้ไปปฏิบัติได้อย่างประสบความสำเร็จ

คำถามที่พบบ่อย

  1. นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลคืออะไร

   – นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลมีเป้าหมายที่จะแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่คนไทยที่มีคุณสมบัติ 50 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและหนุนธุรกิจขนาดเล็ก[5][10]

  1. ใครมีสิทธิ์ได้รับเงินตามนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล  

   – คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 840,000 บาท และมีเงินฝากในบัญชีธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท จะมีสิทธิ์ได้รับเงิน[11]

  1. นโยบายนี้จะนำเงินมาจากไหน

   – นโยบายนี้จะใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินปี 2567-2568 และจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)[11]

  1. ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คาดหวังจากนโยบายนี้คืออะไร

   – คาดว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มการเติบโต GDP ได้ 1.2-1.8% ในปี 2568 และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น[5][10]

  1. นโยบายนี้เผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง

   – นโยบายนี้เผชิญกับความท้าทายที่เกี่ยวกับเงินทุน, ข้อจำกัดทางกฎหมาย, ความล่าช้าในการปฏิบัติ และผลกระทบทางการเมือง[8][11]

แหล่งอ้างอิง

[1] https://www.khaosodenglish.com/news/2024/03/27/the-pm-promises-good-news-about-digital-wallets-on-april-10/

[2] https://thailand.prd.go.th/en/content/category/detail/id/49/iid/292375

[3] https://www.bangkokpost.com/business/general/2774191/thailand-to-roll-out-13-8bn-handout-scheme-in-q4-says-prime-minister-srettha-thavisin

[4] https://www.khaosodenglish.com/politics/2024/04/11/pm-asks-public-to-judge-central-bank-for-not-cutting-rates/

[5] https://thailand.prd.go.th/en/content/category/detail/id/48/iid/282275

[6] https://www.dbs.id/id/treasures/aics/economics/templatedata/article/generic/data/en/GR/macro_strategy/012024/240111_thaigdp.xml

[7] https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2717694/digital-wallet-scheme-coming-in-may

[8] https://www.reuters.com/markets/asia/thailands-cabinet-approves-135-billion-digital-wallet-handout-2024-04-23/

[9] https://fulcrum.sg/political-stakes-of-pheu-thais-10000-baht-digital-wallet-initiative/

ข่าวน่าสนใจ