บทนำ
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้กลายจากเทรนด์มาเป็นอนาคตของวงการยานยนต์ไปแล้ว ท่ามกลางความกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศ และการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างแข่งขันกันเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตรถไฟฟ้า รถ EV กำลังกลายเป็นกระแสหลัก ด้วยพิกัดการวิ่งที่ไกลขึ้น ราคาที่เอื้อมถึงได้มากขึ้น และความหลากหลายของรุ่นที่มากขึ้นกว่าที่เคย การปฏิวัติครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เรามาดูกันว่ารถ EV มาไกลแค่ไหนแล้ว และกำลังจะไปสู่จุดไหนต่อไป
ภูมิทัศน์รถ EV ในปี 2024
ในปี 2024 ยอดขายรถ EV ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการคาดการณ์ ในปีนี้ประมาณ 1 ใน 4 ของรถใหม่ที่ขายทั่วโลกจะเป็นรถไฟฟ้าล้วน [1] ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง Tesla, Volkswagen, Ford และ GM ต่างแข่งขันกับสตาร์ทอัพและแบรนด์รถ EV ใหม่ๆ ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทำให้รถ EV วิ่งได้ไกลกว่า 300 ไมล์ และมีราคาประหยัดต่ำกว่า 30,000 เหรียญสำหรับรุ่นคอมแพ็ค [2] โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จสาธารณะก็ขยายตัวด้วย โดยมีสถานีชาร์จสาธารณะกว่า 1 ล้านแห่งติดตั้งในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว [3] ผู้บริโภคปัจจุบันจึงมีตัวเลือกรถ EV หลากหลายทั้งรถเก๋ง SUV กระบะ และรถสมรรถนะสูง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในแง่ของเวลาในการชาร์จ การผลิตแบตเตอรี่ให้ได้มาตรฐาน และการทำให้รถ EV เข้าถึงได้สำหรับผู้ซื้อทุกกลุ่ม ผู้ผลิตรถยนต์จึงลงทุนนับพันล้านเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้และทำให้ได้ตามเป้าหมายด้านมลพิษ
นวัตกรรมรถ EV ที่กำลังจะเกิดขึ้น
มองไปข้างหน้าในปี 2025 และหลังจากนั้น การปฏิวัติรถ EV จะเร่งตัวขึ้นด้วยนวัตกรรมและรุ่นใหม่ๆ:
รถ EV พิกัดไกล: แบตเตอรี่รุ่นถัดไปจะทำให้วิ่งได้ไกลกว่า 500 ไมล์ ช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทาง [4] แบตเตอรี่แบบ solid-state อาจเพิ่มความหนาแน่นพลังงานได้เป็น 2 เท่า
ชาร์จไว: การชาร์จความเร็วสูง 800 โวลต์จะทำให้ชาร์จได้ 200 ไมล์ภายใน 10 นาทีที่จุดพักริมทางหลวง [5] การชาร์จไร้สายอาจใช้งานได้จริงด้วย
รถ EV ราคาประหยัด: รถ EV คอมแพ็คราคาไม่ถึง 25,000 เหรียญจะออกสู่ตลาดเพิ่ม ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้ ราคารถ EV มือสองจะลดลงด้วยเมื่อมีซัพพลายเพิ่มขึ้น
กระบะ/SUV ไฟฟ้า: Ford, Rivian, Tesla และแบรนด์อื่นๆ เปิดตัวรถกระบะและ SUV ไฟฟ้าที่ลากจูงและบรรทุกของได้เต็มประสิทธิภาพ
รถ EV ประสิทธิภาพสูง: แบรนด์อย่าง Porsche, Lucid และ Rimac ผลักขีดจำกัดด้วยรถ EV ที่มีแรงม้ากว่า 1,000 ตัว และเร่ง 0-60 ไมล์/ชม. ได้ใน 2 วินาที
รถยนต์ไร้คนขับ: ฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติจะแพร่หลาย บางรุ่นจะขับขี่อัตโนมัติได้อย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่จำกัดภายในปี 2030
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV จะมีความสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคขนส่ง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1/4 ของการปล่อย CO2 ทั่วโลก [6] รถ EV ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง ลดการพึ่งพานำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศอีกด้วย
เมื่อต้นทุนรถ EV ทัดเทียมรถเครื่องยนต์ในช่วงปลายทศวรรษ 2020 ประโยชน์โดยรวมต่อเศรษฐกิจจะเป็นมหาศาล การศึกษาคาดว่าสหรัฐฯ จะประหยัดได้กว่า 6 แสนล้านเหรียญจากการใช้รถ EV จนถึงปี 2050 [7]
ความท้าทายยังมีในเรื่องการผลิตและกำจัดแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน แต่นวัตกรรมเรื่องการรีไซเคิลและการผลิตที่สะอาดจะช่วยแก้ไขได้
อนาคตคือวันนี้
ปี 2024 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่รถ EV จะกลายจากส่วนแบ่งตลาดเล็กๆ ไปสู่ประเภทรถยนต์หลักในหลายประเทศ ถึงแม้จะยังมีอุปสรรค แต่อนาคตของการขนส่งจะเป็นพลังงานไฟฟ้าอย่างแน่นอน
ผู้ผลิตรถที่ไม่ปรับตัวไปสู่ไฟฟ้าอาจล้าหลังคู่แข่ง ส่วนผู้บริโภคจะได้เพลิดเพลินไปกับรถ EV ที่มีสมรรถนะสูง วิ่งได้ไกล ในราคาย่อมเยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้นด้วย
การปฏิวัติรถ EV มาถึงแล้ว และเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะพร้อมเปลี่ยนตอนนี้หรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้า รถ EV จะต้องจอดอยู่ในโรงรถของคุณก่อนสิ้นทศวรรษนี้อย่างแน่นอน
คำถามที่พบบ่อย
1. รถยนต์ไฟฟ้าแตกต่างจากรถเครื่องยนต์ปกติอย่างไร?
รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์สันดาป และใช้แบตเตอรี่แทนถังน้ำมัน จึงไม่ปล่อยไอเสียโดยตรง เติมพลังงานด้วยการชาร์จไฟแทนการเติมน้ำมัน
2. ราคารถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่ารถธรรมดามากแค่ไหน?
ปัจจุบันรถไฟฟ้ามักมีราคาสูงกว่ารถเครื่องยนต์ที่มีขนาดและสมรรถนะใกล้เคียงกัน แต่ราคาต่ำสุดของรถ EV เริ่มต้นประมาณ 8 แสนบาท และจะมีรถระดับ 5-6 แสนบาทออกมาเพิ่มขึ้น ขณะที่ช่องว่างราคาจะลดลงอย่างมากในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อต้นทุนแบตเตอรี่ถูกลง
3. รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลเท่าไรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
รถ EV รุ่นใหม่ปัจจุบันส่วนใหญ่สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 300-400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง บางรุ่นวิ่งได้ถึง 500-600 กม. ซึ่งพอๆ กับรถเครื่องยนต์ทั่วไป และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่ารถ EV ส่วนใหญ่จะวิ่งได้ไกล 500 กม. ขึ้นไป จากการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ
4. ใช้เวลานานแค่ไหนในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า?
เวลาชาร์จขึ้นอยู่กับสเปคของรถและสถานีชาร์จ โดยทั่วไปหากชาร์จที่บ้านด้วยไฟ AC อาจใช้เวลา 6-12 ชั่วโมง ส่วนสถานีชาร์จด่วน DC จะใช้เวลาราว 30-60 นาทีสำหรับการชาร์จ 80% อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีใหม่ๆ จะลดเวลาชาร์จเหลือเพียง 10-15 นาทีในอนาคตอันใกล้
5. ต้นทุนการชาร์จและบำรุงรักษารถ EV เป็นอย่างไร?
โดยเฉลี่ยแล้ว การชาร์จไฟรถ EV จะประหยัดกว่าการเติมน้ำมันรถเครื่องยนต์ราว 50-70% ขึ้นอยู่กับราคาไฟฟ้าและน้ำมันในแต่ละพื้นที่ ส่วนค่าบำรุงรักษารถ EV จะถูกกว่ารถทั่วไปราว 30-40% เนื่องจากมีชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนน้อยกว่า
สรุป
รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักในวงการยานยนต์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้รถ EV วิ่งได้ไกลขึ้น ชาร์จไฟเร็วขึ้น และมีราคาถูกลง ซึ่งจะช่วยขจัดข้อกังวลหลักๆ ของผู้บริโภคที่มีต่อรถไฟฟ้าในปัจจุบัน การผลักดันสู่รถ EV ในวงกว้างจะช่วยลดมลพิษและผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ พร้อมสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลในระยะยาว ดังนั้น การปฏิวัติสู่ยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นโอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่งทั่วโลกไปอย่างถาวร
แหล่งอ้างอิง
[1] IEA (2023), Global EV Outlook 2023, IEA, Paris
[2] EV Database (2023), https://ev-database.org/
[3] IEA (2023), Global EV Outlook 2023, IEA, Paris
[4] Ayre, J. (2023), Battery Breakthrough: 620 Miles On A Single Charge, CleanTechnica
[5] Szymkowski, S. (2022), ABB reveals world’s fastest EV charger can add 62 miles in 3 minutes, Roadshow by CNET
[6] Ritchie, H. (2021), Cars, planes, trains: where do CO2 emissions from transport come from?, Our World in Data
[7] Goldman School of Public Policy (2021), The Cost of Lithium-Ion Battery Powered Electric Vehicles, University of California, Berkeley